ทางเลือกการติดตั้ง โซลาร์เซลล์โรงงาน มีอะไรบ้าง

เวลาเราพูดถึง โซลาร์เซลล์โรงงาน จริง ๆ แล้วมีให้เลือกหลายมิติ ทั้งจะติดตั้งตรงไหนและแบบไหน ใครลงทุน โครงสัญญาเป็นยังไง และ ระบบไฟฟ้าภายในจะจัดการอย่างไร บทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกทางเลือกทั้งหมดที่เจ้าของโรงงานควรรู้ ก่อนตัดสินใจ
โรงงานที่ติดโซลาร์รูฟท็อปจึงได้ทั้งลดต้นทุนและยกระดับ ESG โดยเฉพาะรูปแบบ PPA โรงงาน ที่ช่วยเห็นส่วนลดค่าไฟได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้งบลงทุนก้อนใหญ่
ติดโซลาร์เซลล์โรงงาน แบบไม่ต้องลงทุน คลิก
เลือกตำแหน่งติดตั้งของระบบโซลาร์เซลล์โรงงาน
- Rooftop (หลังคาโรงงาน)
ตำแหน่งยอดนิยมที่ติดตั้งในโรงงาน เพราะพื้นที่หลังคามักเหลือ ใช้ไฟกลางวันตรงกับการผลิตพอดี โครงการ โซลาร์เซลล์แบบรูฟท็อปควรเช็คสภาพหลังคา รับน้ำหนัก/แรงลม จุดรั่วเดิม และทางเดินเซอร์วิสสำหรับทำความสะอาด/ซ่อมบำรุง - Carport (หลังคาโรงจอดรถพนักงาน)
ได้ประโยชน์ 2 ต่อ – สร้างร่มเงาและผลิตไฟ ถ้าวางแผนอนาคตจะติด EV Charger ก็ทำจุดต่อไว้พร้อม เหมาะกับโรงงานที่หลังคาหลักเริ่มเต็มหรือหันทิศไม่สวย และต้องการภาพลักษณ์การใช้พลังงานสะอาดที่ชัดเจนตั้งแต่ลานจอด - Ground-mount (ติดตั้งบนพื้นดินในพื้นที่โรงงาน)
คุมมุมเอียง ระยะห่างเงาบดบังได้ดี เดินเซอร์วิสง่าย แต่ต้องมีที่ดินว่าง และอาจต้องทำรั้ว/จัดการน้ำท่วมขัง ระบบ โซลาร์เซลล์แบบตั้งพื้นเหมาะเมื่ออยากดันกำลังผลิตไฟฟ้า และคุมมุมแดดได้
Tips : เริ่มจากหลังคา ถ้าเพดานพื้นที่ยังเหลือและโครงสร้างไหว, เสริม Carport เพื่อภาพลักษณ์และ EV, Ground-mount เมื่ออยากขยายกำลังผลิตของ โซลาร์เซลล์โรงงาน ให้ใหญ่ขึ้น
เลือกรูปแบบระบบไฟ ให้ตรงกับเป้าหมายของโรงงาน
- On-grid แบบ Self-consumption
ระบบยอดนิยมของ Solar Cell โรงงาน – ผลิตแล้วใช้ทันที เพื่อลดค่าไฟฟ้า เหมาะกับโรงงานที่มีโหลดกลางวันเป็นหลัก - On-grid + BESS (แบตเตอรี่สำรองสำหรับโซลาร์เซลล์)
เพิ่มแบตเพื่อกดพีก ช่วง Demand charge สูง หรือเก็บไฟส่วนเกินช่วงกลางวันไปใช้ตอนหัวค่ำ เหมาะกับ โรงงาน ที่เดิน 2–3 กะ หรือมีพีกสั้น ๆ ราคาไฟโหด
Tips : ถ้าต้องการลดบิลค่าไฟ อย่างเดียว อาจเริ่มที่ On-grid ก่อน แล้วค่อยพิจารณาเพิ่มแบตเตอรี่เมื่อขยายเวลาการทำงานถึงช่วงกลางคืน
เลือกโมเดลการลงทุน ให้เข้ากับงบและความเสี่ยงของโรงงาน
นี่คือหัวใจสำคัญที่ผู้บริหาร หรือเจ้าของโรงงานต้องตัดสินใจ เพราะส่งผลต่อกระแสเงินสด บัญชี ภาษี และภาระดูแลระยะยาวของโซลาร์เซลล์
EPC (ซื้อขาด/เป็นเจ้าของทันที)
- เงินลงทุน – ใช้ CapEx ของบริษัท ติดตั้งเสร็จเป็นทรัพย์สินโรงงานเอง
- ค่าไฟเฉลี่ย – ต่ำสุดในระยะยาว เพราะไม่มีมาร์จิ้นของผู้พัฒนา
- ความเสี่ยง/ภาระ – รับภาระเอง ทั้งประสิทธิภาพ operation & maintenance อะไหล่ อินเวอร์เตอร์ในอนาคต
- เหมาะกับ – โรงงานที่กระแสเงินสดแข็งแรง มองผลตอบแทนจาก โซลาร์เซลล์โรงงาน ระยะยาวชัดเจน
PPA (มีผู้พัฒนาลงทุนให้ เราจ่ายค่าไฟตามที่ผลิตได้)
- เงินลงทุน – แทบไม่ใช้ CapEx ผู้พัฒนาลงทุนให้ เราชำระค่าไฟตามที่ผลิตได้ และอัตราถูกกว่ามิเตอร์
- ค่าไฟเฉลี่ย – ถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า แต่โดยมากแพงกว่า EPC เล็กน้อย (เพราะรวมต้นทุนทุน/ดูแล/กำไรผู้พัฒนา)
- ความเสี่ยง/ภาระ – ผู้พัฒนาเป็นคนรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับประกัน การบำรุงรักษา ประสิทธิภาพ (ตามสัญญา PPA โรงงาน)
- สัญญา – 10–25 ปี ระบุสิทธิการซื้อขาด ย้ายระบบ หรือขยายกำลังผลิตภายใต้กรอบ PPA โรงงาน
- เหมาะกับ – บริษัทที่ต้องการเห็นส่วนลดค่าไฟทันที โดย ไม่บานงบลงทุน และอยากล็อกความเสี่ยงในด้านเทคนิค
ขอประเมินศักยภาพโซลาร์ PPA ฟรี คลิก
เทคนิคการเลือกให้ตรงบริบทของโรงงาน
- โหลดกลางวันชัด ค่าไฟแรง แต่เงินสดตึง – เริ่มที่ Private PPA เอาส่วนลดค่าไฟทันที
- ฐานะการเงินดี ต้องการผลตอบแทนสูงสุด – ไป EPC พร้อมสเปกพรีเมียม + สัญญา O&M ที่รัดกุม ให้โซลาร์เซลล์ คืนทุนไวแล้ววิ่งกำไรยาว
- โรงงาน 2–3 กะ พีกแรงสั้นๆ – พิจารณา แบตเตอรี่ เพื่อ Peak shaving
- หลังคาเริ่มเต็ม/ทิศไม่สวย แต่อยากเพิ่มกำลังผลิต – ทำ Carport หรือ Ground-mount เพื่อขยายสเกลโซลาร์เซลล์โรงงาน
เช็กลิสต์ที่ต้องมีในสัญญา/สเปกของโซลาร์เซลล์โรงงาน
- PR/Specific Yield/Availability ที่รับประกัน และวิธีวัดผลผลิตจริง
- Response/Recovery time และค่าปรับเมื่อไม่เป็นไปตาม SLA ของระบบโซลาร์เซลล์
- สเปกอุปกรณ์ – แผง Tier สูง รับประกัน 25 ปี, อินเวอร์เตอร์ 5–10 ปี, SPD/สายดิน
- Commissioning & Performance Test – ก่อนรับมอบ โซลาร์เซลล์ต้องทดสอบจริง ไม่ใช่แค่เปิดติด
- Monitoring/SCADA – สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล การแจ้งเตือน รายงานรายเดือนที่อ่านง่าย
- เงื่อนไขย้าย/ซื้อขาด/สิ้นสุดสัญญา (กรณี PPA/BOOT) และการคืนสภาพพื้นที่
ตัวอย่าง Case จริง
- โรงงานอาหาร 2 กะ – หลังคาดี โหลดกลางวันแน่น เลือก โซลาร์เซลล์โรงงาน Rooftop 800–1,200 kWp แบบ EPC คืนทุน 5–6 ปี จากนั้นวิ่งกำไรยาว
- โรงงานอะไหล่ยานยนต์ 3 กะ – มีพีกหัวค่ำแรง เลือก PPA + BESS เพื่อกดพีกโดยไม่ใช้เงินลงทุนก้อน ระบบ โซลาร์เซลล์โรงงาน ทำงานคู่แบตอย่างคุ้มค่า
สรุป
ถ้าต้องเลือกว่าจะติดตั้งตรงไหน ในมุมมองความคุ้มค่าหลังคาจะตอบโจทย์ที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ในส่วนของโมเดลการลงทุน ขึ้นอยู่การตัดสินใจด้านการลงทุน เมื่อเลือกถูกทางตั้งแต่แรก โซลาร์เซลล์โรงงาน จะไม่ใช่แค่อุปกรณ์บนหลังคา แต่คือสินทรัพย์ที่ปั่นกระแสเงินสดและกดความเสี่ยงค่าไฟให้ธุรกิจในระยะยาว 20 ปีขึ้นไป
เลือกโมเดลการลงทุน ให้เข้ากับงบและความเสี่ยงของโรงงาน
นี่คือหัวใจสำคัญที่ผู้บริหาร หรือเจ้าของโรงงานต้องตัดสินใจ เพราะส่งผลต่อกระแสเงินสด บัญชี ภาษี และภาระดูแลระยะยาวของโซลาร์เซลล์
EPC (ซื้อขาด/เป็นเจ้าของทันที)
- เงินลงทุน – ใช้ CapEx ของบริษัท ติดตั้งเสร็จเป็นทรัพย์สินโรงงานเอง
- ค่าไฟเฉลี่ย – ต่ำสุดในระยะยาว เพราะไม่มีมาร์จิ้นของผู้พัฒนา
- ความเสี่ยง/ภาระ – รับภาระเอง ทั้งประสิทธิภาพ operation & maintenance อะไหล่ อินเวอร์เตอร์ในอนาคต
- เหมาะกับ – โรงงานที่กระแสเงินสดแข็งแรง มองผลตอบแทนจาก โซลาร์เซลล์โรงงาน ระยะยาวชัดเจน
PPA (มีผู้พัฒนาลงทุนให้ เราจ่ายค่าไฟตามที่ผลิตได้)
- เงินลงทุน – แทบไม่ใช้ CapEx ผู้พัฒนาลงทุนให้ เราชำระค่าไฟตามที่ผลิตได้ และอัตราถูกกว่ามิเตอร์
- ค่าไฟเฉลี่ย – ถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า แต่โดยมากแพงกว่า EPC เล็กน้อย (เพราะรวมต้นทุนทุน/ดูแล/กำไรผู้พัฒนา)
- ความเสี่ยง/ภาระ – ผู้พัฒนาเป็นคนรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับประกัน การบำรุงรักษา ประสิทธิภาพ (ตามสัญญา PPA โรงงาน)
- สัญญา – 10–25 ปี ระบุสิทธิการซื้อขาด ย้ายระบบ หรือขยายกำลังผลิตภายใต้กรอบ PPA โรงงาน
- เหมาะกับ – บริษัทที่ต้องการเห็นส่วนลดค่าไฟทันที โดย ไม่บานงบลงทุน และอยากล็อกความเสี่ยงในด้านเทคนิค
ขอประเมินศักยภาพโซลาร์ PPA ฟรี คลิก
เทคนิคการเลือกให้ตรงบริบทของโรงงาน
- โหลดกลางวันชัด ค่าไฟแรง แต่เงินสดตึง – เริ่มที่ Private PPA เอาส่วนลดค่าไฟทันที
- ฐานะการเงินดี ต้องการผลตอบแทนสูงสุด – ไป EPC พร้อมสเปกพรีเมียม + สัญญา O&M ที่รัดกุม ให้โซลาร์เซลล์ คืนทุนไวแล้ววิ่งกำไรยาว
- โรงงาน 2–3 กะ พีกแรงสั้นๆ – พิจารณา แบตเตอรี่ เพื่อ Peak shaving
- หลังคาเริ่มเต็ม/ทิศไม่สวย แต่อยากเพิ่มกำลังผลิต – ทำ Carport หรือ Ground-mount เพื่อขยายสเกลโซลาร์เซลล์โรงงาน
เช็กลิสต์ที่ต้องมีในสัญญา/สเปกของโซลาร์เซลล์โรงงาน
- PR/Specific Yield/Availability ที่รับประกัน และวิธีวัดผลผลิตจริง
- Response/Recovery time และค่าปรับเมื่อไม่เป็นไปตาม SLA ของระบบโซลาร์เซลล์
- สเปกอุปกรณ์ – แผง Tier สูง รับประกัน 25 ปี, อินเวอร์เตอร์ 5–10 ปี, SPD/สายดิน
- Commissioning & Performance Test – ก่อนรับมอบ โซลาร์เซลล์ต้องทดสอบจริง ไม่ใช่แค่เปิดติด
- Monitoring/SCADA – สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล การแจ้งเตือน รายงานรายเดือนที่อ่านง่าย
- เงื่อนไขย้าย/ซื้อขาด/สิ้นสุดสัญญา (กรณี PPA/BOOT) และการคืนสภาพพื้นที่
ตัวอย่าง Case จริง
- โรงงานอาหาร 2 กะ – หลังคาดี โหลดกลางวันแน่น เลือก โซลาร์เซลล์โรงงาน Rooftop 800–1,200 kWp แบบ EPC คืนทุน 5–6 ปี จากนั้นวิ่งกำไรยาว
- โรงงานอะไหล่ยานยนต์ 3 กะ – มีพีกหัวค่ำแรง เลือก PPA + BESS เพื่อกดพีกโดยไม่ใช้เงินลงทุนก้อน ระบบ โซลาร์เซลล์โรงงาน ทำงานคู่แบตอย่างคุ้มค่า
สรุป
ถ้าต้องเลือกว่าจะติดตั้งตรงไหน ในมุมมองความคุ้มค่าหลังคาจะตอบโจทย์ที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ในส่วนของโมเดลการลงทุน ขึ้นอยู่การตัดสินใจด้านการลงทุน เมื่อเลือกถูกทางตั้งแต่แรก โซลาร์เซลล์โรงงาน จะไม่ใช่แค่อุปกรณ์บนหลังคา แต่คือสินทรัพย์ที่ปั่นกระแสเงินสดและกดความเสี่ยงค่าไฟให้ธุรกิจในระยะยาว 20 ปีขึ้นไป
EPC ใช้เงินลงทุนเราและได้ต้นทุนไฟต่ำสุดในระยะยาว ส่วน PPA โรงงาน ให้ผู้พัฒนาลงทุนให้ เราซื้อไฟในราคาต่ำกว่ามิเตอร์ โอนภาระ O&M และความเสี่ยงประสิทธิภาพให้คู่สัญญา
ได้ ขึ้นกับเงื่อนไขสัญญา เช่น สิทธิ์ขยาย/ซื้อขาด/ต่อสัญญา แนะนำให้ล็อกเงื่อนไขการขยาย (Expansion clause) และวิธีคิดราคาไฟล่วงหน้าไว้ตั้งแต่แรก